กัมพูชา ประท้วงวุ่น ไทย เปิดคลิปโชว์หลักฐาน เขมรวางทุ่นระเบิดบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา กลางที่ประชุมออตตาวา ทหารไทยสูญเสียขา 7 นาย
เมื่อเวลาประมาณ 15.40 น. วันที่ 5 ธ.ค.2568 ตามเวลาท้องถิ่นของ นครเจนีวา สวิตเซอร์แลนด์ ณ สำนักงานองค์การสหประชาชาติ ฝ่ายเลขานุการของที่ประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาห้ามทุ่นระเบิดสังหารบุคคล หรือ อนุสัญญาออตตาวา ครั้งที่ 22 (22MSP) ได้กล่าวรายงานพัฒนาการของสถานการณ์ไทย-กัมพูชา
ซึ่งเป็นไปตามคำขอของไทย ที่ยื่นให้กับเลขาธิการสหประชาชาติก่อนหน้านี้ หลังเกิดเหตุทหารไทยเหยียบกับทุ่นระเบิดตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชาหลายครั้งติดต่อกัน จึงขอให้นำเรื่องดังกล่าวมาหารือระหว่างการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาออตตาวา ครั้งที่ 22
นายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวถ้อยแถลงในวาระการพิจารณาคำขอตามข้อ 8 ของอนุสัญญาออตตาวา ว่า เมื่ออนุสัญญานี้ถูกให้การรับรองในปี พ.ศ.2540 รัฐภาคีได้ให้คำมั่นว่าจะ “ยุติความทุกข์ทรมานและการบาดเจ็บล้มตายที่เกิดจากทุ่นระเบิดสังหารบุคคล”
โดยตั้งอยู่บนฉันทามติร่วมกันว่า ไม่มีประเทศที่เจริญแล้วประเทศใดสามารถอ้างเหตุผลเพื่อใช้อาวุธที่โจมตีแบบไม่เลือกหน้าเช่นนี้ได้ ประเทศไทยจึงยึดมั่นในหลักการเหล่านี้อย่างลึกซึ้ง และนี่คือเหตุผลที่เราจำเป็นต้องหยิบยกประเด็นที่น่ากังวลขึ้นมาในที่ประชุมครั้งนี้
นายสีหศักดิ์ กล่าวว่า ประเทศไทยไม่มีความปรารถนาที่จะสร้างความตึงเครียด หรือทำให้ประเด็นนี้เป็นประเด็นทางการเมือง แต่ทหารของเราได้รับบาดเจ็บซ้ำแล้วซ้ำเล่า และตนมีหน้าที่ต้องพูดแทนประชาชนชาวไทย ผู้ซึ่งต้องอดทนต่อเหตุการณ์ที่ไม่ควรเกิดขึ้นเลยภายใต้กรอบของอนุสัญญานี้
เพราะในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ทหารไทย 7 นาย ต้องสูญเสียขาจากเหตุทุ่นระเบิดหลายครั้งตามแนวชายแดน ซึ่งสร้างความหวาดกลัวให้แก่ชุมชนในท้องถิ่น เราจึงได้เห็นหลักฐานที่เพิ่มขึ้น ซึ่งยืนยันว่าทุ่นระเบิดเหล่านี้ถูกวางใหม่โดยกัมพูชา
พร้อมย้ำว่า การประเมินที่เป็นอิสระ ซึ่งรวมถึงคณะผู้สังเกตการณ์อาเซียน (AOT) ยืนยันว่า ทุ่นระเบิดเหล่านี้เพิ่งถูกวางไว้ใหม่ อีกทั้งเรายังมีหลักฐานเป็นวิดีโอที่แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนถึงการฝึกอบรมบุคลากรกัมพูชาในการติดตั้งทุ่นระเบิด PMN-2 ซึ่งเป็นทุ่นระเบิดประเภทที่กัมพูชามีอยู่
นี่จึงถือเป็นการละเมิดรต่อข้อ 1 ของอนุสัญญาอย่างโจ่งแจ้งชัดเจน และเป็นการละเมิดหลักการด้านมนุษยธรรม ที่เรากำหนดให้เป็นหัวใจสำคัญของอนุสัญญานี้อย่างร้ายแรง
อย่างไรก็ดี ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ประเทศไทยได้อ้างข้อ 8 วรรค 2 เพื่อขอให้กัมพูชาชี้แจง เพราะหลักการแห่งความน่าเชื่อถือของอนุสัญญานี้เรียกร้องให้เราต้องทำเช่นนั้น เราจึงได้ใช้กลไกทวิภาคีทุกช่องทางด้วยความสุจริตใจ เพื่อแก้ไขปัญหานี้อย่างสร้างสรรค์ แต่คำตอบของกัมพูชากลับขัดแย้งกับหลักฐานที่ได้รับการยืนยันและมีการตรวจสอบแล้ว
